วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

วิธีคลายเครียด

13วิธีแก้เครียดในที่ทำงานหากคุณรู้สึกว่างานที่ทำกำลังปลุกต่อมเครียดให้มีชีวิต ไหนจะมีประชุมแต่เช้าตรู่ นั่งทำงานที่โต๊ะไม่ถึง 10 นาที ก็มีโทรศัพท์เข้ามาไม่ขาดสาย บ่ายก็ต้องวิ่งออกไปหาลูกค้า ตอนเย็นยังต้องกลับมาทำ Report ส่งเจ้านาย เวลากลับบ้านไม่วายรถก็ติดแสน ฯลฯเรามีวิธีช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ง่ายๆ แถมเติมโบนัสทางความคิดและมุมมองดีๆ แบบนี้เลย MUST DO IT! 1. สูดกลิ่นหอม รู้หรือเปล่าว่า กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์จะช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียดๆ ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ อย่างกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยตรงโต๊ะทำงานก็ไม่เลวนะ เชื่อสิว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเลยเชียว 2. ตากอากาศระยะสั้น เมื่อความเครียดรุมเร้า ก็ไม่ควรอุดอู้อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม ทางที่ดีคุณควรหาเวลาหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์ใกล้ๆ ธรรมชาติสักพัก อาจเป็นสวนหย่อมในที่ทำงาน หรือคาเฟทาเรียใกล้ๆ จากนั้นเดินผ่อนคลายและหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ปล่อยสมองให้ว่างที่สุด เพราะบางทีความรู้สึกเหนื่อยล้าและหดหู่มันมาจากชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนเกินไปWOW! เพียงแค่ 10 นาทีวิธีนี้ก็จะชาร์จพลังให้หัวใจของคุณให้ดีขึ้นได้ 3. จินตนาการแสนสุข อีกทางเลือกในการบรรเทาความเครียด คือ ดึงตัวเองออกจากโลกปัจจุบัน โดยหลับตาแล้วหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ แล้วหยุดไว้สองวินาทีก่อนหายใจออก การหยุดช่วงสั้นๆ จะมีผลทำให้ระบบประสาทสงบลง ทำแบบนี้ในที่เงียบๆ สัก 5 นาที รับรองว่าจะรู้สึกดีแบบทันตาเห็น จากนั้นก็นึกถึงช่วงเวลาดีๆ ในการทำงาน เช่น วันที่ได้รับคำชมจากเจ้านาย หรืองานชิ้นโบว์แดงที่คุณทำแล้วรู้สึกภาคภูมิใจ เป็นต้น4. หนังสือบำบัด หาหนังสือที่อ่านแล้วสบายใจ เล่มบางๆ มาไว้ใกล้มือ เครียดเมื่อไหร่หยิบมาพลิกอ่านสักหน้าสองหน้าแก้เครียด5. สร้างอารมณ์ขัน หลังจากทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ลองชวนเพื่อนที่มีอารมณ์ขันคุยเบาๆ จะช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวให้หัวเราะได้อีกครั้ง คนที่หัวเราะง่ายมักมีสุขภาพกายและจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นการรักษาสมดุลของระบบประสาททางหนึ่งด้วย (ฮอร์โมนคอร์ติซอล = ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด)DID YOU KNOW! สำหรับบางคนการหัวเราะเพียงครั้งเดียวมีค่าเท่ากับการผ่อนคลายสี่สิบห้านาทีเต็มทีเดียว 6. พลังแห่งการสัมผัส ถ้ามีเพื่อนสนิทในที่ทำงานอาจสลับสับเปลี่ยนกันนวดบรรเทาอาการเครียด เพราะการโอบกอดหรือสัมผัสเบาๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าจะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ชื่อ ออกซิโทชิน ช่วยลดระดับความเหนื่อยและความเครียด ทำให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ MUST DO! นวดศีรษะ โดยกางนิ้วออกแล้วใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ ไล้จากคางขึ้นไปถึงหน้าผาก แล้วย้อนกลับมาที่ท้ายทอย หรือจะนวดบริเวณหางตาได้ด้วยก็ได้7. โทรหาเพื่อนรู้ใจ อย่าคิดว่าตัวเองจะแก้ทุกปัญหาได้ไปซะหมด หัวใจสาวมั่นแม้จะแกร่งแค่ไหนก็ยังต้องการที่พึ่งพิงบ้าง ยกหูโทรศัพท์หาเพื่อนรู้ใจสักคนแล้วระบายความรู้สึกให้เพื่อนได้รับรู้ การมีคนรับฟังและให้คำปรึกษาจะทำให้ชีวิตที่ยุ่งเหยิงเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่า คุณไม่ได้แบกปัญหาอยู่คนเดียวในโลก แต่ขอเตือนว่าอย่าเมาท์เพลินจนเสียงานก็แล้วกัน8. หามุมสงบ-ฟังเพลง ฟังเพลงเบาๆ โดยเฉพาะเพลงแนว Meditation ทั้งเสียงบรรเลงดนตรีและเสียงธรรมชาติ อย่างเสียงคลื่น น้ำตก นกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคืนสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์ 9. ทดลองหลับ บางตำรากล่าวไว้ว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาสมดุลแห่งความเครียด คือ การฝึกจิตง่ายๆ ครั้งละ 10 - 15 นาที เช้าและเย็น ด้วยการนั่งท่าสบายๆ อยู่ที่โต๊ะทำงานของคุณ หนุนศีรษะบนแขนที่วางไขว้กัน หรือหาที่เหมาะนอนท่าเหยียดยาว หลับตาและปล่อยตัวตามสบาย เพื่อผ่อนคลายง่ายๆ DID YOU KNOW! ในทางทฤษฎีว่าไว้เมื่อคุณหลับตาสามารถตัดข้อมูลต่างๆ ไม่ให้เข้าสู่สมองได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ 10. อย่าคาดหมายล่วงหน้า การมัวแต่คิดถึงการนัดหมายสำคัญๆ ในวันรุ่งขึ้น จะทำให้เข้านอนดึกด้วยความกังวลและเครียดเพิ่มขึ้นไปอีก ทางที่ดีทำใจให้สบายผ่อนคลายให้มากที่สุด บอกตัวเองว่าพักให้เต็มที่ แล้วพรุ่งนี้จะดีเอง จากนั้นตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้า เพื่อจะได้เตรียมตัวจนมั่นใจ โดยไม่อ่อนเพลีย11. รู้จัก “เลี่ยง” เมื่อถึงเวลา ในชีวิตการทำงานมักมีหลายเรื่องที่เข้ามากระทบความรู้สึกจนเกิดอารมณ์ แต่แทนที่จะตอบโต้กลับทันทีอย่างขาดสติ จนอาจทำให้ปัญหาลุกลามใหญ่โต การเดินหนีไปก่อน รอให้อารมณ์เย็นลงหรืออยู่กับโต๊ะทำงานตัวเองเงียบๆ จัดข้าวของหรือหาอะไรที่ไม่ต้องใช้สมาธิสูงมากทำ ลดความเครียดลงได้จนกว่าคุณพร้อมที่จะกลับมาลุยงานอีกครั้ง12. สร้างกำลังใจให้ตัวเอง ความผิดพลาดบางอย่างที่แก้ไขไม่ได้แล้วก็จำเป็นต้องยอมรับแล้วใช้เป็นบทเรียน แต่จงอย่างให้ความผิดพลาดนั้นกลายเป็นสิ่งที่มากดดันให้คุณเครียดจนเกินไปMUST DO! อย่ามัวคิดถึงสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว ควรเปิดใจให้กว้าง และกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลาในการ หาทางแก้ไขให้ดีขึ้น 13. คิดในทางบวก จำไว้ว่าการมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน คิดถึงประสบการณ์ดีๆ ที่ผ่านมาในชีวิตให้บ่อยขึ้น รวมถึงคิดถึงความปรารถนาดีของคนอื่นที่มีต่อคุณก็จะช่วยให้เป็นคนที่เครียดน้อยลงและมีความสุขมากขึ้นได้

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วมาก และมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก มีขนาดใหญ่ สามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้หลายแสนล้านครั้งต่อวินาที และได้รับการออกแบบ เพื่อให้ใช้แก้ปัญหาขนาดใหญ่มากทางวิทยาศาสตร์และทางวิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน การศึกษาผลกระทบของมลพิษกับสภาวะแวดล้อมซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ชนิดอื่นๆ แก้ไขปัญหาประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการคำนวณหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ จะต้องใช้หน่วยความจำสูง ดังนั้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จึงมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ตั้งแต่รุ่นที่มีหน่วยประมวลผล (processing unit) 1 หน่วย จนถึงรุ่นที่มีหน่วยประมวลผลหลายหมื่นหน่วยซึ่งสามารถทำงานหลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วมาก และมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก มีขนาดใหญ่ สามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้หลายแสนล้านครั้งต่อวินาที และได้รับการออกแบบ เพื่อให้ใช้แก้ปัญหาขนาดใหญ่มากทางวิทยาศาสตร์และทางวิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน การศึกษาผลกระทบของมลพิษกับสภาวะแวดล้อมซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ชนิดอื่นๆ แก้ไขปัญหาประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการคำนวณหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ จะต้องใช้หน่วยความจำสูง ดังนั้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จึงมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ตั้งแต่รุ่นที่มีหน่วยประมวลผล (processing unit) 1 หน่วย จนถึงรุ่นที่มีหน่วยประมวลผลหลายหมื่นหน่วยซึ่งสามารถทำงานหลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วมาก และมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก มีขนาดใหญ่ สามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้หลายแสนล้านครั้งต่อวินาที และได้รับการออกแบบ เพื่อให้ใช้แก้ปัญหาขนาดใหญ่มากทางวิทยาศาสตร์และทางวิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน การศึกษาผลกระทบของมลพิษกับสภาวะแวดล้อมซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ชนิดอื่นๆ แก้ไขปัญหาประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการคำนวณหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ จะต้องใช้หน่วยความจำสูง ดังนั้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จึงมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ตั้งแต่รุ่นที่มีหน่วยประมวลผล (processing unit) 1 หน่วย จนถึงรุ่นที่มีหน่วยประมวลผลหลายหมื่นหน่วยซึ่งสามารถทำงานหลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

วัฏฏะ 3

วัฏฏะ 3 อันได้แก่ กัมมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ และกิเลสวัฎฏ์
กัมมวัฏฏ์ ได้แก่กรรม การกระทำ ที่ทำให้เกิดวิปากวัฏฏ์ หรือวิบาก ผลของกรรม และทำให้เกิดกิเลสวัฏฏ์ คือ ทำให้เราเกิดกิเลส
วัฏฏะสามนี้เกิดวนเวียนอยู่ภายในจิตใจเรานี่เอง และเป็นสิ่งที่ออกมาทำให้ชีวิตเราวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์นี้ เราทำกรรม ก็ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น และผลของกรรมหรือที่เรียกว่าวิบาก ก็ส่งผลให้เรามีกิเลส เพราะความพอใจ ไม่พอใจในวิบากนั้นๆ อย่างไม่รู้ เพราะขาดสติสัมปชัญญะ เราจึงโดนกิเลสครอบงำ จนทำให้เราก่อกรรมขึ้นอีก ทางกาย วาจา ใจ วนเวียนเช่นนี้ จนไม่สามารถหลุดออกจากสังสารวัฏฏ์นี้ได้
ถ้าเราศึกษาศาสนา สิ่งแรกที่เราได้เรียนรู้ก็คือ กฎของกรรม นั่นคือ เราทำสิ่งใดเราย่อมได้รับผลของกรรมนั้น ที่เรียกว่า วิบาก ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม ผลย่อมออกมาเที่ยงธรรมเสมอ แม้ว่าบางอย่างที่เราไม่สามารถมองย้อนไปในอดีต หรือพูดง่ายๆ ว่าเราจำไม่ได้นั่นเอง เราก็จะไม่ทราบว่าเราได้ทำอะไรมาบ้าง ทำไม เราจึงได้รับผลเช่นนี้ แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ ระลึกรู้ไปเรื่อยๆ เราจะเห็นได้ชัดเองว่า การกระทำบางอย่างของเรานั้น เรายังทำอะไรซ้ำๆ อย่างเคยชิน เรายังคิดอะไรเหมือนๆ เดิม จนกลายเป็นทิฏฐิที่ฝังแน่น ทำไปโดยอัตโนมัติก็ว่าได้ นั่นเเหละ เป็นเพราะเราทำกรรมเช่นนั้นมาจนเคยชิน แต่ถ้าเรามาเจริญสติสัมปชัญญะ ระลึกรู้กายใจ เราจะเห็นการกระทำของตัวเองชัดเจนขึ้น
เมื่อเราทำกรรมดีแล้ว ผลออกมาดี เป็นวิบากดี เราก็พอใจ เมื่อเราทำกรรมชั่ว ผลก็ออกมา เป็นวิบากที่เลวร้าย เราก็จมอยู่ในความไม่พอใจ ทั้งสองทาง ก่อให้เกิด ความพอใจ ไม่พอใจ เป็นอภิชฌาและโทมนัส ก่อให้เรามีกิเลสครั้งต่อไปอีกอย่างสืบเนื่อง เพราะความรู้ไม่เท่าทัน เพราะความไม่มีสติสัมปชัญญะ รู้ทันความพอใจ ไม่พอใจนั้น เราจึงทำตามกิเลสต่อไปอีก เพราะขาดสติสัมปชัญญะ สังสารวัฏฏ์จึงวนเวียนอยู่เช่นนี้ตลอดไป
แต่ปัญญานั้น ไม่ใช่สัญญาและสังขาร คือ ปัญญาในทางธรรมนั้น ไม่ใช่การจดจำได้และเรียบเรียงได้ แต่ปัญญาคือการเกิดความรู้ขึ้นในฉับพลัน ชนิดที่เมื่อเห็นแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียบเรียงเป็นคำพูดให้เข้าใจได้ แต่เจ้าตัวจะเข้าใจได้ทันที โดยไม่ต้องอาศัยมิติใดๆ แต่ถ้าต้องการจะสื่อให้ผู้อื่นทราบ เราต้องพยายามระลึกถึงสภาวธรรมนั้นๆ แล้ว นำมาจัดเป็นคำพูด เป็นสมมุติบัญญัติเพื่อความเข้าใจ ฉะนั้น ตอนปัญญาเกิดนั้น มันไม่เป็นคำพูด เป็นแต่สภาวะรู้ขึ้นมาเฉยๆ ด้วยเหตุปัจจัยแห่งสมาธิ ความสงบ ตั้งมั่นของจิต ที่เราระลึกรู้กายใจ อยู่อย่างธรรมดาๆ ในปัจจุบันเท่านั้น
ครูบาอาจารย์หรือผู้รู้บางท่าน ไม่ค่อยเทศน์หรือไม่ชอบอธิบายธรรม เพราะท่านเห็นถึงภาระ (ที่ต้องปรุงแต่งขึ้นมาอีกให้เป็นคำพูด) และการเข้าใจของผู้คนโดยทั่วไปที่ไม่ได้เห็นสภาวะนั้นๆ ด้วยตนเอง ย่อมจะต้องใช้สัญญาสังขาร ในการเข้าใจ รับรู้ และปรุงแต่งเอง ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ เพราะเราอาศัยขันธ์ห้า ตัวที่เป็นสัญญา สังขาร ของตนเองเป็นผู้ตีความ ซึ่งสัญญาและสังขารในขันธ์ห้านั้นเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้จริง ครูบาอาจารย์ท่านจึงว่า สัทธรรมที่เกิดในปุถุชนล้วนเป็นสัทธรรมปฏิรูป คือผิดเพี้ยนไปจากความจริงได้ ท่านพูดตรงๆ สอนเราตรงๆ แล้ว แต่เราอาจจะตีความผิด เข้าใจผิดเพี้ยนไปได้ ต้องพึงระวังไว้
เราเองอยู่ในขั้นศึกษา และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน จึงต้องฟังหูไว้หู และเงี่ยฟังผู้ที่ท่านถึงธรรมแล้ว ซึ่งเป็นผู้ที่เราควรสดับพระธรรมจากท่าน ข้อเขียนและข้อความใดๆ ของสติมา เป็นบันทึกความเข้าใจของผู้หนึ่งที่กำลังศึกษา เป็นผู้เดินทางไปเพื่อข้ามโอฆะนี้ เช่นพวกเราทั้งหลาย เพื่อให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในสังคมโลกนี้ เรายังมีสังคมของผู้ที่ศึกษาปฏิบัติ ที่เป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน และมีธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้แสดงแล้ว มีครูบาอาจารย์ที่ท่านถึงธรรมแล้ว ได้เป็นผู้นำแนวทางพวกเราให้เดินตามในทางที่ถูกที่ควรแล้ว
ที่มา: http://dungtrin.com/

kiku: ถนอมสุขภาพ กับ เคล็ดลับ การใช้ คอมพิวเตอร์ อย่างถูกวิธี

kiku: ถนอมสุขภาพ กับ เคล็ดลับ การใช้ คอมพิวเตอร์ อย่างถูกวิธี

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

จุรินทร์” เผยยอดร้องเอเน็ตล่าสุด 201 ราย เรียก 21 สถาบันถก ลั่น “อุเทน-ปทุมวัน” ต้องใช้ยาแรง

“จุรินทร์” เผยยอดร้องปัญหาเอเน็ตล่าสุดมี 201 รายจาก 140 ศูนย์ทั่วประเทศ ระบุต้องรอประมวลผลก่อนที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจะจัดการ เผยเชิญ 21 สถาบันมาร่วมถกหาทางออก พร้อมประกาศใช้ยาแรงขึ้นหลังช่างกลปทุมวัน-อุเทนถวายตะลุมบอลกัน วันนี้ (11 ก.พ.) ที่รัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีที่มีนักเรียนร้องเรียนเกี่ยวกับการสมัครสอบการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นสูง (เอเน็ต) เพื่อคัดเลือกเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาว่า ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการรับเรื่องร้องเรียนซึ่งทางกระทรวงศึกษาได้ขยายศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์จำนวน140 ศูนย์ทั่วประเทศ โดยจะเปิดโอกาสให้ร้องเรียนได้จนถึงวันที่ 14 ก.พ.นี้ ก่อนจะสรุปผล โดยขณะนี้มีเด็กนักเรียนมาร้องเรียนแล้ว 201 ราย แบ่งเป็นเด็กต่างจังหวัดจำนวน 69 ราย ส่วนการพิจารณาตรวจสอบจะต้องรอฟังผลทั้งหมดก่อน จากนั้นสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) จะไปดำเนินการว่าจะหาทางออกอย่างไร เพราะอำนาจในการรับนักศึกษาขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันการศึกษา นอกจากนี้ตนจะเชิญอธิการบดี 21 สถาบันที่มีอำนาจในการตัดสินใจในการรับนักศึกษามาหารือร่วมกันเพื่อหาทางออกในเรื่องดังกล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า เกรงว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบเสถียรภาพรัฐบาลกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง และไม่คิดจะใช้อำนาจทางการเมืองไปทำให้ระบบเสียหาย เพียงแต่ขอให้สกอ.ตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ซึ่งอยู่ในขอบเขตอำนาจของตนที่สามารถทำได้ สำหรับกรณีที่นักศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีปทุมวันและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ทะเลาะวิวาทหลังจากที่ประกาศยุติศึกไปก่อนหน้านี้นั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนคิดว่าจะต้องใช้ยาแรงขึ้น โดยให้ สกอ.รับไปหาแนวทางวินิจฉัยโรคว่าเกิดจากอะไรและจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับสถาบันอุดมศึกษาทั้งสองรวมถึงสถาบันอุดมศึกษาที่มีปัญหาเดียวกันอย่างไร และจะมอบหมายให้นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมช.ศึกษาธิการทำหนังสือไปถึงสภามหาวิทยาลัยทั้งสองแห่งให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ส่วนจะต้องใช้ยาแรงถึงขั้นสั่งปิดทั้งสองสถาบันหรือไม่นั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า จะมอบหมายให้ทาง สกอ.รับไปพิจารณาว่าจะใช้ยาแรงถึงขนาดไหนถึงขั้นต้องสั่งปิดสถาบันหรือไม่และถ้าพบว่ามีบุคคลากรของสถาบันเข้าไปเกี่ยวข้องอาจจะพิจารณาความผิดทั้งทางวินัยและอาญา และเมื่อเวลาประมาณ 12.30 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการอุดมศึกษา ได้ออกหนังสือ ศธ 0508/1645 เรื่องประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องนโยบายและมาตรการป้องกันนักเรียนนักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทและทำร้ายกัน ซึ่งหนังสือดังกล่าว เป็นการประชุมปรึกษาหารือเมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยมีนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์เป็นประธานการประชุม ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีข้อสรุปว่า นอกจากข้อสรุปนโยบายและมาตรการ 10 ข้อของกระทรวงฯ (คลิกอ่านรายละเอียดมาตรการ 10 ข้อได้ ที่นี่!) ที่ประชุมยังเสนอให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย และสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน ดำเนินการเพิ่มเติมดังนี้ 1. ควบคุมมิให้มีการดื่มสุราในมหาวิทยาลัย/สถาบัน เนื่องจากการดื่มสุราเป็นปัจจัยหลักในการนำไปสู่การทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายกันและยังเป็นการละเมิดพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 31 (5) ที่ว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณสถานศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ ยกเว้นบริเวณที่จัดเป็นที่พักส่วนบุคคลหรือสโมสร ตามมาตรา 41 “หากผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 31 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2. ให้มีการทำประวัตินักศึกษาทุกปี เพื่อจะได้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ทันสมัยสำหรับใช้ตรวจสอบเมื่อนักศึกษาเป็นบุคคลต้องสงสัย 3. ให้มีการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิดในบริเวณหน้าสถาบัน บริเวณจุดอับและแหล่งมั่วสุม 4. มีการป้องกันมิให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาชักชวนนักศึกษาไปในทางเสียหายหรือก่อกวนการเรียนการสอน 5. ให้มีการจัดกิจกรรมร่วมกันระหว่างสถาบันเพื่อให้เกิดความรักความสามัคคีและบำเพ็ญประโยชน์ให้กับสังคมร่วมกัน สำหรับบรรยากาศในช่วงประมาณ 12.50 น. ที่โรงแรมเอเชีย ห้องประกายเพชร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อาจารย์จากทั้งสองสถาบัน ได้เดินทางมาประชุมร่วมกันประมาณ 30 คน การหารือเป็นไปอย่างค่อนข้างตึงเครียดและไม่อนุญาตให้สื่อเข้าไปร่วมฟัง มีการเชิญผู้สื่อข่าวออกไปนอกห้อง โดยความคืบหน้าในส่วนของผลการประชุม ผู้สื่อข่าวจะรายงานให้ทราบต่อไป

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ตัวผม

ผมเป็นเด็กอายุ 5 ขวบครับ